ค้นประวัติเจ้าแห่งลาลีก้า แอตเลติโก มาดริด [Atletico Madrid]

ค้นประวัติเจ้าแห่งลาลีก้า แอตเลติโก มาดริด [Atletico Madrid]

สโมสรแอตเลติโก มาดริดนั้น รู้จักกันในชื่อหลายชื่อเช่นแอตเลติโก เดอ มาดริด หรือว่าแอตแลนติก หรือแอตเลติโก้ ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลของสเปน และมีฐานของสนามและแฟนบอลอยู่ที่กรุงมาดริด พวกเขาเล่นในศึกลาลีกา ส่วนเกมในบ้านนั้นพวกเขามีสนามที่เปิดรองรับนั่นก็คือสนามเอสตาดิโอ เมโตรโปลิตาโน ซึ่งจุคนได้มากถึง 68,000 คน

แอตเลติโก มาดริด เคยได้แชมป์ลีกของสเปน โดยครั้งล่าสุดที่ได้คือปี 2014 เป็นสโมสรลำดับสามที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปน ตามหลังเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่า และแอตเลติโก เคยได้แชมป์ในศึกลาลีกา 10 สมัย นั่นรวมถึงการได้แชมป์ลีกและลีกคัพในปีเดียวกัน นั่นก็คือปี 1996 โดยทีมนั้นได้แชมป์โคปาเดอเรไป 10 สมัยและได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพวินเนอร์คัพในปี 1962 และได้รองแชมป์ในปี 1963 และ 1986 ทีมตราหมีแห่งนี้เคยเป็นรองแชมป์แชมเปี้ยนลีกในปี 1974, 2014 และ 2016 และได้แชมป์ยูโรป้าลีกในปี 2010, 2012 และ 2018 และได้แชมป์ยูฟ่าซุปเปอร์คัพในปี 2010, 2012 และ 2018 นั่นรวมถึงแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ ในปี 1974

ชุดเหย้าของแอตเลติโก มาดริด เป็นเสื้อเชิ้ตลายทางแนวตั้งสีแดงและสีขาว และกางเกงสีน้ำเงินและถุงเท้าสีน้ำเงินและสีแดง ชุดนี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ 1911 ตลอดประวัติศาสตร์ของสโมสรแอตเลติโก มาดริด ทีมนั้นมีชื่อเล่นจำนวนมาก เช่น “ผู้ทำที่นอน” เนื่องจากลายเสื้อของทีมเป็นสีเดียวกับที่นอนสมัยโบราณ

ชุดเหย้าของแอตเลติโก มาดริด เป็นเสื้อเชิ้ตลายทางแนวตั้งสีแดงและสีขาว

ในช่วงปี 1970 พวกเขากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ Los Indios ซึ่งมาจากการที่สโมสรที่ลงทะเบียนผู้เล่นชาวอเมริกาใต้จำนวนมาก หลังจากที่กฎในการเซ็นและลงทะเบียนผู้เล่นต่างชาติถูกยกเลิก อย่างไรก็ตามมีหลายทฤษฎีทางเลือกที่อ้างว่าพวกเขาได้รับการตั้งชื่อดังกล่าว เพราะสนามกีฬาของพวกเขาคือค่ายทหารบนฝั่งแม่น้ำ อีกทฤษฎีหนึ่งของชื่อนี้คือการที่ Los Indios (ชาวต่างชาติ) เป็นศัตรูดั้งเดิมของ Los Blancos (ชายชุดขาว) ซึ่งเป็น ชื่อเล่นของทีมคู่แข่งอย่างสโมสร เรอัล มาดริด ซึ่ง เฟลิเป้ที่ห้า กษัตริย์ของสเปนเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรมาตั้งแต่ปี 2546 ทีมตราหมีเป็นเจ้าของแฟรนไชส์กับทีมในอินเดียนซูเปอร์ลีกในโกลกาตา โดยทีมนั้นมีชื่อว่า แอตเลติโก เดอ โกลกาตา ซึ่งชนะการแข่งขันสองครั้ง แต่ในปี 2017 แอตเลติโกตัดสินใจที่จะยุติการเป็นหุ้นส่วนแฟรนไชส์กับทีมในสเปนเนื่องจาก การทำผิดข้อตกลง

การก่อตั้งและช่วงปีแรก

สโมสรก่อตั้งเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1903 ในฐานะสโมสรกีฬา โดยนักศึกษาชาวบาสก์สามคนที่อาศัยอยู่ในกรุงมาดริด ผู้ก่อตั้งเหล่านี้ทำให้สโมสรใหม่เป็นทีมของเยาวชนในขั้นแรก โดยในปี 1903 แอธเลนติก บิลเบา ได้แชมป์โคปาเดลเรย์ และพวกเขาไม่ลงรอยกับเรอัล มาดริด และเริ่มเล่นในเสื้อสีน้ำเงินและสีขาว และกลายเป็นสีของแอธเลนติก บิลเบา แต่ในปี 1911 และในปัจจุบัน แอตเลติโก มาดริดใช้แถบสีแดงและสีขาว บางคนเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพราะเสื้อลายทางสีแดงและสีขาว เป็นสิ่งที่สามารถใช้ได้ง่าย เนื่องจากมีการใช้สีแบบเดียวกันเพื่อทำที่นอนจากผ้าที่ไม่ได้ใช้ และถูกดัดแปลงเป็นเสื้อฟุตบอลได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้มีส่วนทำให้เกิดการสร้างชื่อเล่นของพวกเขาอย่าง Los Colchoneros

อย่างไรก็ดี มีคำอธิบายที่ว่า ทั้งแอธเลนติก บิลเบา และแอตเลติโก มาดริด เคยพยายามที่จะซื้อชุดสีน้ำเงินและสีขาวของแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ในอังกฤษ ปลายปี 1909 โจนิโต้ อโลดาอูร์ อดีตผู้เล่นและสมาชิกคณะกรรมการกีฬาแอตเลติโก มาดริด ไปอังกฤษเพื่อซื้อชุดสำหรับทั้งสองทีม แต่ไม่สามารถหาซื้อชุดแบล็กเบิร์นได้ เขาจึงซื้อเสื้อเชิ้ตสีแดงและสีขาวของเซาแธมป์ตัน (สโมสรจากเมืองท่าเรือที่เขาต้องกลับไปสเปน) แอตเลติโก มาดริดใช้เสื้อแดงและขาว และนำไปสู่การเป็นที่รู้จักในนาม Los Rojiblancos แต่ตัดสินใจที่จะใช้กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ในขณะที่ทีมบิลเบาเปลี่ยนกางเกงขาสั้นเป็นสีดำ แอธเลนติก บิลเบาชนะการแข่งขันโคปาเดลเรย์รอบชิงชนะเลิศในปี 1911 โดยใช้ผู้เล่นหลายคนที่ยืมมาจากแอตเลติโก มาดริด รวมถึงนักเตะอย่าง มาโนลอน ที่ยิงประตูให้พวกเขาไปหนึ่งประตู

รอนดา เดอ วาเซลเลส เป็นสนามกีฬาแห่งแรกของแอธเลนติก บิลเบา อยู่ในด้านทิศใต้ของเมือง ประเทศสเปน ในปี 1919 บริษัท คอมปาเนีย เออร์บานิซอร่า เมโทรโพลิตาน่า ซึ่งเป็น บริษัทระบบสื่อสารใต้ดิน ได้ซื้อที่ดินเพื่อให้แอตเลติโก มาดริดใช้เพื่อเป็นสนามของตนเองจนในปี 1921 แอตเลติโก มาดริด กลายเป็นอิสระจากการบริหารของสโมสรแอธเลนติก บิลเบาและย้ายสนามไปอยู่ที่สนามกีฬา 35,800 ที่นั่ง ซึ่งสร้างโดย บริษัท เอสตาดิโอ เมโทรโพทาโน เดอ มาดริด และถูกนำมาใช้จนถึงปี 1966

ในช่วงปี 1920 แอตเลติโก้ มาดริดได้แชมป์ แคมแปนาโต เดล แคนโตร ไปถึงสามสมัยและได้รองแชมป์โคปาเดอเรย์ ในปี 1921 ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับทีมแม่อย่าง แอตแลนติก บิลเบาและพวกเขาได้ประสบความสำเร็จในช่วงปี 1926 ซึ่งจะผลงานที่ดีในปี 1928 แอตเลติโก้ มาดริดถูกเชิญให้เข้าร่วมการแข่งขันลีกอย่างเป็นทางการ และได้เล่นลาลีกาในปีถัดมา ซึ่งในช่วงแรกที่ได้เล่นในลาลีกาทางสโมสรได้ถูกควบคุมการฝึกซ้อมและการทำทีมโดยเฟรด เพ้นท์แลนด์ แต่หลังจากนั้น 2 ฤดูกาลทีมก็ได้ตกชั้นลงไปสู่เซกุนด้าดิวิชั่นแต่พวกเขาก็สามารถกลับมาอย่างไรลีกาได้อีกครั้งในปี 1934 และตกชั้นไปอีกครั้งในปี 1936 หลังจากที่โจเซฟ ซามิทิแอร์ เข้ามาคุมทีมในครึ่งฤดูกาลแทนเพ้นท์แลนด์

และในช่วงนั้นเกิดเหตุการณ์สงครามกลางเมืองของสเปนซึ่งทำให้แอตเลติโก้ มาดริด ถูกพักการแข่งขันและทางทีมเรอัล โอเวียโด ไม่สามารถลงเล่นได้ เนื่องจากการสร้างสนามอยู่ในพื้นที่สงครามและเกิดเหตุวางระเบิดซึ่งทำให้การตกชั้นของแอตเลติโก้ มาดริดและเรอัล โอเวียโด ถูกพักเอาไว้ก่อนและหลังจากนั้นทีมตราหมีได้เอาชนะรอบเพลย์ออฟในการเจอกับโอซาซูน่าซึ่งเป็นแชมป์เซกุนด้า ดิวิชั่น

ช่วงแรกของทีม (1939-1947)

ในปี 1939 หลังจากที่ลาลีกากลับมาแข่งขัน แอตเลติโก้ มาดริด ได้ควบรวมกับอเวซิรอน เนชั่นเนล ออฟ ซาราโกซ่า แล้วกลายมาเป็นแอตเลติโก้ เดอ มาดริด อเวซิรอน เนชั่นเนล ในปี 1939 โดยเป็นสมาชิกของกองทัพอากาศของสเปน ซึ่งพวกเขาได้รับการสัญญาว่าจะขยับขึ้นมาเล่นยังมีสูงสุดในฤดูกาล 1939-40 แต่พวกเขาโดนปฏิเสธจากสมาพันธ์ฟุตบอลสเปน และในระหว่างการจัดตั้งลาลีกาและเกิดเหตุสงครามกลางเมืองนั้นได้มีนักเตะเสียชีวิตไปถึง 8 คน หลังจากนั้น ทีมก็ได้เล่นในลีกในฤดูกาล 1939-40 เพิ่งเข้ามาแทนที่ทีมอย่าง เรอัล โอเวียโด โดยผู้จัดการทีมนั่นก็คือ ริคาร์โด ซาโมร่า และหลังจากนั้น ทีมก็ได้แชมป์ลาลีกาในฤดูกาลนั้นและสามารถรักษาแชมป์ได้อีกครั้งในปี 1941 นักเตะที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากต่อปีในขณะนั้นนั่นก็คือกัปตันของทีมอย่างเจอร์มาน โกเมซ ซึ่งทีมได้เซ็นสัญญามาจากเรซิ่ง ซานตาเดย์ เมื่อ 1939 และเล่นต่อเนื่องถึง 8 ฤดูกาลติดต่อกัน เขาเล่นให้กับทีมตราหมีจนกระทั่งเมื่อปี 1947-1948 โดยถือว่าเป็นตำนานกองกลางของทีมคนหนึ่ง ควบคู่ไปกับมาร์ชินและรามอน กาบิลอยโด ในปี 1941 มีนักเตะที่ถูกแบนไม่ให้ลงสนามนั่นคือฟรานซิสโก้ ฟรังโก้ เนื่องจากการใช้ชื่อนักเตะต่างประเทศในการลงทะเบียน และทางสโมสรได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น อเวียคอย เดอ มาดริด ในปี 1947 สโมสรได้ตัดสินใจที่จะยุติการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับกิจการพลทหารกับทางด้านสโมสร และได้มีการเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น คลับ แอตเลติโก เดอ มาดริด ในปีเดียวกันนี้ แอตเลติโก้ มาดริด ชนะเรอัล มาดริดไปได้ 5 ประตูต่อ 0 ที่สนามเหย้าของพวกเขาเองซึ่งเป็นการแข่งขันดาร์บี้ แมตช์เมืองมาดริดที่มีผลชนะเยอะที่สุด

ยุคทองของทีม (1947-1965)

ภายใต้การคุมทีมของ เฮเลียโน่ เฮอร์เรร่า และด้วยความช่วยเหลือของลาร์บี้ เบนบาเรค แอตเลติโก้ มาดริดได้แชมป์ลาลีกาอีกครั้งในปี 1950 และ 1951 แต่การจากไปของเฮอร์เรร่าในปี 1953 สโมสรก็เริ่มมีผลงานที่ตามหลังเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่า
และภายหลังของสงคราม ช่วงนี้เป็นช่วงที่สโมสรอย่างแอตเลติโก้ มาดริด และแอธแลนติก บิลเบาเพื่อได้ตำแหน่งที่สามในลีกสเปน

อย่างไรก็ตามในช่วงปี 1960 และ 1970 แอตเลติโก มาดริด ได้ท้าทายบาร์เซโลน่าอย่างหนักสำหรับตำแหน่งทีมที่สอง ฤดูกาล 1957-58 เฟอร์ดินานด์ โดคลิก เข้ามาคุมทีมแอตเลติโก้ มาดริด เขาพาสโมสรได้ที่สองในศึกลาลีกา ส่งผลให้แอตเลติโก มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยยุโรปในปี 1958–59

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของเรอัล มาดริด โดยเป็นผู้ครองแชมป์ยุโรป ซึ่งมีนักเตะที่ยิ่งใหญ่อย่างศูนย์หน้าชาวบราซิลอย่าง วาร์วาและเอ็นริเก้ โคเลอร์ แอตเลติโก้ มาดริดเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศหลังจากเอาชนะ ดรัมคอนดรา, เซเอสเคเอ โซเฟีย และชาลเก้ 04 แต่ในรอบรองชนะเลิศพวกเขาพบกับเรอัล มาดริด ทีมราชันชุดขาวเอาชนะเลกแรกที่ซานติอาโกเบอร์นาเบวไปได้ 2-1 ในขณะที่แอตเลติโกชนะ 1-0 ที่เมโทรโพลิทาโน ก่อนที่จะเล่นนัดรีเพลย์และมาดริดเอาชนะไปได้ 2 ประตูต่อ 1 ที่ซาราโกซา

แอตเลติโก้ มาดริดได้กลับมาแก้แค้น เมื่อทีมถูกนำทีมโดยอดีตผู้จัดการทีมเรอัล มาดริดอย่าง โจเซ่ วิลลลองก้า พวกเขาพ่ายแพ้ในสองครั้งติดต่อกันในรอบรองชนะเลิศในศึกโคปาเดลเรย์ต่อเนื่องในปี 1960 และ 1961 และในปี 1962 พวกเขาได้แชมป์ถ้วยยุโรป โดยการเอาชนะฟิออเรนติน่าไปได้ 3-0 ความสำเร็จนี้มีความสำคัญต่อสโมสร เนื่องจากคัพวินเนอร์คัพเป็นถ้วยรางวัลสำคัญของยุโรปที่เรอัล มาดริดไม่เคยได้ หลังจากนั้นในปีต่อมา สโมสรได้เข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศในปี 1963 แต่ว่าแพ้ต่อท็อตแนมฮ็อต สเปอร์ไป 5 ประตูต่อ 1 เอ็นริเก คัลลอท ยังคงเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลในช่วงยุคนี้ ได้เล่นร่วมโดยชอบมิเกล โจนส์และกองกลางอย่าง อเดร์ลาโด

ปีที่ดีที่สุดของแอตเลติโกที่ใกล้เคียงกับทีมเรอัล มาดริด ระหว่างปี 1961-1980 เรอัล มาดริดได้ครองแชมป์ลาลีกา โดยได้แชมป์ลาลีกาทั้งหมด 14 ครั้ง ในยุคนี้มีเพียงแอตเลติโกเท่านั้นที่ได้การท้าทายมาดริดอย่างจริงจัง โดยได้แชมป์ลาลีกาในปี 1970, 1973 และ 1977 โดยได้รองแชมป์ในปี 1961, 1963 และ 1965 สโมสรประสบความสำเร็จโดยการได้แชมป์โคปาเดลเรย์สามครั้งในปี 1965, 1972 และ 1976 ในปี 1965 พวกเขาจบการแข่งขันลาลีกาในอันดับรองแชมป์ หลังนั้นเกิดจากการแข่งขันอย่างเข้มเข้น และแอตลาติโกกลายเป็นทีมแรกที่เอาชนะเรอัล มาดริดในที่ซานติอาโก เบอร์นาเบว ในรอบ 8 ปี

ยูโรเปี้ยนคัพ นัดชิงชนะเลิศ (1965-1974)

ในช่วงนั้นทีมตราหมีมีนักเตะที่สำคัญหลายคนเช่น อเดร์ลาโด

ในช่วงนั้นทีมตราหมีมีนักเตะที่สำคัญหลายคนเช่น อเดร์ลาโด และนักเตะจอมทำประตูอย่างหลุยส์ อราโกเรส ฮาเวียร์ อรูเอต้า และ โจเซ่ อูโลกิโอ การาเต้ ซึ่งได้รางวัลปิชีชี่มาถึงสามสมัยติดต่อกัน โดยได้รางวัลในปี 1969 1970 และ 1971 และในช่วงปี 1970 แอต มาดริดได้ควานหานักเตะที่มาจากทวีปอเมริกาใต้จนได้เซ็นกับนักเตะสัญชาติอาร์เจนตินาอย่าง รูเบน อยาล่า, ปานาเดโร่ ดิเอซ และรามอน ฮีเรียดก และผู้จัดการทีมอย่าง ฮวน คาร์ลอส ลอเรนโซ่ ลอเรนโซ่ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมเชื่อว่าการมีกฎระเบียบที่ดีและการเล่นที่รัดกุมจะสร้างความลำบากให้กับคู่ต่อสู้ แม้ว่าจะเป็นวิธีที่โบราณ แต่ปรัชญาการคุมทีมของเขาได้พิสูจน์ว่าส่งผลสำเร็จอย่างยิ่งโดยทีมนั้นได้แชมป์ลาลีก้าในปี 1973 หลังจากนั้นได้เข้าไปสู่การแข่งขัน ยูโรเปียนคัพนัดชิงชนะเลิศในปี 1974 โดนในรอบน็อคเอาท์ แอตเลติโก้ มาดริด เอาชนะกาลาตาซาราย, ดินาโม บูคูเรสติ, เร้ดสตาร์ เบลเกรด และเซลติก ซึ่งทำให้ทีมงานเข้าไปสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายและพบกับเซลติก และด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมนั่นทำให้ทีมตราหมีสามารถผ่านเข้ารอบไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้ โดยนัดแรกพวกเราเสมอไป 0 ประตูต่อ 0 แต่นัดผ่านมาทีมตราหมีสามารถเอาชนะไปได้ 2 ประตูต่อ 0 โดยได้ประตูจากการาเต้และอเดลาร์โด้ และในนัดชิงชนะเลิศแอตเลติโก้ มาดริดต้องเจอกับบาเยิร์น มิวนิคที่สนามเฮย์แซล ซึ่งในขณะนั้น บาเยิร์น มิวนิค เป็นทีมที่แข็งแกร่ง เนื่องจากพวกเขามีกองกำลังที่ยอดเยี่ยมอย่างฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์, เซปป์ ไมเออร์, พอล แบรทเนอร์, อูลี เฮอร์เนสและเกรดมุลเลอร์ แอตเลติโก้ มาดริด มีปัญหาบางประการ เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนของทีมถูกแบนอย่างเช่น อยาล่า, ดิแอซ, กีเก้ เกมดำเนินไปถึงช่วงเวลาการต่อเวลาพิเศษเหลือเพียงแค่ 7 นาทีเท่านั้น อราโกเนสทำประตูด้วยลูกยิงที่สุดยอดจากการยิงฟรีคิก แล้วเหมือนว่าทีมจากสเปนจะเป็นผู้ชนะ แต่ในนาทีสุดท้ายกองหลังของบาเยิร์น มิวนิค อย่าง ฮาน จอร์จ ซวาเซอร์แบก ทำประตูจากการยิงระยะไกลกว่า 25 หลา เนื่องจากผลการแข่งขันที่เสมอกันทำให้ทั้งสองทีมต้องเตะนัดรีเพลย์ที่สนามเดิมใน 2 วันหลังจากนั้น บาเยิร์น มิวนิคเอาชนะไปได้ 4 ประตูต่อ 0 โดยได้ 2 ประตูจากมุลเลอร์และอีก 2 ประตูจากเฮอร์เนส

ช่วงที่ยิ่งใหญ่ของอราโกเนส (1974-1987)

แอตเลติโก้ มาดริดได้ตัดสินใจที่จะให้ ลุยส์ อราโกเนส เข้ามาคุมทีม

หลังจากที่พ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพ แอตเลติโก้ มาดริดได้ตัดสินใจที่จะให้ ลุยส์ อราโกเนส เข้ามาคุมทีมเป็นผู้จัดการทีมแทน ซึ่งความเป็นจริง การเข้ามาของผู้จัดการทีมดังนี้เป็นการเข้ามาแทนอย่างชั่วคราว โดยคุมทีมตั้งแต่ปี 1974 ถึง 1980 และจาก 1982 ถึง 1987 และอีกครั้งจาก 1991 ถึง 1993 และครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 2002-2003 ความสำเร็จของทีมเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ บาเยิร์น มิวนิคปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในศึกอินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ และในฐานะรองแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ แอตเลติโก้ มาดริด ได้เข้าร่วมการแข่งขันแทน โดยคู่ต่อสู้ของเขาคืออินดิเพนเดนเต้ของอาร์เจนตินา หลังจากที่พวกเขาแพ้ในนัดแรกไป 1 ประตูต่อ 0 ทีมตราหมีก็สามารถกลับมาชนะได้ด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 0 โดยได้ประตูจากฮาร์เวียร์ อิรูเรต้าและรูเบน อยาล่า ภายใต้การคุมทีมของอราโกเนส สามารถทำทีมให้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันโกปาเดลเรย์ในปี 1976 และได้แชมป์ลาลีกาในปี 1977 ตอนนี้เป็นช่วงที่รุ่งเรืองของทีม ถ้าพวกเขาได้รองแชมป์ลาลีกาและได้แชมป์โคปาเดลเรย์ ซึ่งทั้งสองอย่างเกิดขึ้นในปี 1985 และพวกเขาได้รับการช่วย อย่างมหาศาลจากฮูโก้ ซานเชส ซึ่งทำประตูไป 9 ประตูและได้รางวัลปิชีชี่ ซึ่งสามารถทำได้ถึง 2 ประตูในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศบอลถ้วยภายในประเทศ ในการเจอกับแอธเลติก บิลเบา โดยพวกเขาเอาชนะไปได้ 2 ประตูต่อ 1 แต่ฮูโก้ ซานเชส ก็อยู่กับทีมได้เพียงแค่ปีเดียว หลังจากนั้นเขาก็ย้ายข้ามฟากไปยังทีมเรอัล มาดริด ถึงแม้ทีมตราหมีจะเสียนักเตะสำคัญอย่าง ซานเชซแ ต่ภายใต้การคุมทีมของอราโกเนส พวกเขาก็สามารถทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้ โดยได้แชมป์ซูเปอร์โคปา เดอ เอสปานา ในปี 1985 และสามารถนำทีมเข้าไปถึงการแข่งขันยูโรเปี้ยนคัพ วินเนอร์คัพ รอบชิงชนะเลิศในปี 1986 ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพลาดท่าพ่ายแพ้และพลาดโอกาสในการได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพโดยการแพ้ต่อดินาโมเคียฟไป 3 ประตูต่อ 0

การสร้างทีมขึ้นมาใหม่ (2006-2009)

ในปี 2006 แอตเลติโก มาดริดได้เซ็นสัญญากับกองกลางชาวโปรตุเกสอย่าง คอสตินญ่าและมานิเช่ เช่นเดียวกับกองหน้าสัญชาติอาร์เจนตินา อย่าง เซอร์จิโอ อเกวโร่ ในเดือนมิถุนายนปี 2007 หลังจากที่เฟอร์นานโด ตอร์เรส ได้ย้ายออกจากสโมสร เพื่อย้ายเข้าไปยังทีมลิเวอร์พูลด้วยราคาก่อน 26.5 ล้านปอนด์ ขณะที่หลุยส์ การ์เซีย ได้ย้ายไปยังทีมแอตเลติโก มาดริด สลับฝั่งกันกับตอเรสและทางสโมสรได้ซื้อกองหน้าทีมชาติอุรุกวัยและอดีตนักเตะรองเท้าทองคำของยุโรปซึ่งเคยได้รางวัลปิชีชี่ นั่นก็คือ ดิเอโก้ ฟอร์ลัน ซึ่งทีมตราหมีซื้อมาด้วยราคามากกว่า 21 ล้านยูโรจากทีมบีอาเรอัล แล้วนอกจากนั้น ทีมยังได้ซื้อตัวปีกชาวโปรตุเกสอย่าง ซิเมา จากสโมสรเบนฟิก้าและปีกอีกคนอย่างโจเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ด้วยราคากว่า 12 ล้านยูโร

ในเดือนมิถุนายนปี 2004 บอร์ดบริหารของแอตเลติโก้ มาดริด ได้บรรลุข้อตกลงในการขายที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของสนาม และมีความตั้งใจที่จะย้ายไปยังที่ดินใหม่ ซึ่งถูกเรียกที่ตั้งสนามตรงนั้นว่าโอลิมปิก สเตเดี้ยม อย่างไรก็ดี สนามแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเจ้าของและทำให้แอตเลติโก้ มาดริด เป็นเจ้าของสนามอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้ประเทศสเปนได้ยื่นขอเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2016 แต่นั้นก็ไม่สำเร็จ ทำให้โอลิมปิกถูกทำการแข่งขันที่ริโอ เดอ จาเนโรแทน

ในฤดูกาล 2017-2018 เป็นฤดูกาลที่ทีมตราหมีพิสูจน์ตนเองว่าเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดทีมหนึ่งในช่วงปัจจุบัน เนื่องจากทีมสามารถเข้าไปสู่รอบ 32 ทีมในการแข่งขันยูฟ่าคัพ และแพ้ต่อโบลตัน วันเดอเรอร์สไปและสามารถเข้าไปสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายในศึกโคปาเดเรย์ ก่อนที่จะแพ้ต่อสโมสรร่วมลีกอย่างสโมสรบาเลนเซียและในฤดูกาลอย่างเดียวกัน พวกเขาจบด้วยลำดับที่ 4 ในการแข่งขันลาลีกา ซึ่งทำให้ทีมเข้าไปสู่การแข่งขันแชมป์เปียนลีกได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฤดูกาล 1996-97

ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ปี 2009 ฮาเวียร์ อกูเร่ ถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมดังจากการมีผลงานที่ย่ำแย่ โดยไม่สามารถเอาชนะใครได้เลยการแข่งขัน 6 นัดแรกของฤดูกาล โดยเขาออกมาบอกภายหลังว่า ข้อมูลนั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากเขาตัดสินใจที่จะออกจากทีมก่อนที่จะโดนไล่ออก ซึ่งสิ่งที่สื่อนั้นสื่อสารออกไปเป็นเรื่องที่ผิด แต่หลายๆคนเชื่อว่าการกระทำที่ไล่ออกนั้นเป็นสิ่งที่การกระทำที่ถูกต้องของแอตเลติโก้ มาดริด นักเตะคนสำคัญของทีมอย่าง ดีเอโก้ ฟอร์ลัน ออกมาปกป้องอดีตผู้จัดการทีมและบอกว่า “การแก้ปัญหาโดยการไล่ฮาเวียร์ออกนั้น มันเป็นเรื่องที่ง่าย แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ปัญหาที่ถูกต้องก็คือการเล่นของพวกเราโดยผู้เล่นนั้นสมควรที่จะถูกตำหนิในการทำผลงานที่แย่ และการผิดพลาดของพวกนักเตะเอง” และหลังจากนั้นทางสโมสรก็ได้นำตัวอเบล เรซิโน่ ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมแอตเลติโก้ มาดริดคนใหม่

ความสำเร็จของแอตเลติโก้ มาดริด ทำให้สามารถกลับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้อีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาจบอันดับที่ 4 ซึ่งสามารถทำให้ทีมเข้าไปสู่การเล่นรอบเพลย์ออฟ เพื่อเข้าไปแข่งขันในรอบต่อไปได้ ซึ่งทำให้กองหน้าอย่าง ดิเอโก้ ฟอร์ลัน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยได้รับรางวัลปิชีชี่และในปีเดียวกันอย่างได้รางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป โดยทำประตูไป 32 ประตูให้แก่ทีมตราหมีในฤดูกาลนั้น ความสำเร็จของแอตเลติโก้ มาดริด นั้นเป็นโอกาสในการกลับเข้าสู่การแข่งขันแชมป์เปียนลีก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทีมอยากเห็นได้ชัด นั่นก็คือการแทนที่ตัวผู้รักษาประตู โดยคนที่มาแทนตัวผู้รักษาประตูคนเดิมอย่าง ลีโอ ฟรังโกโดยแทนที่โดยดาบิด เด เคอา ซึ่งเป็นนักเตะจากเยาวชนของทีมและสโมสรได้เซ็นสัญญากับนักเตะดาวรุ่งอย่างเซอร์จิโอ อเซ็นโจ้ จากสโมสรเรอัล บายาโดลิด และทีมก็ได้ซื้อกองหลังจากทีมเรอัล เบติสและเป็นนักเตะชาติสเปนอย่าง ฮัวนิโต้ ซึ่งเป็นการซื้อขายโดยไม่จ่ายค่าตัว และในขณะนั้นมีความกดดันจากสโมสรใหญ่ให้ขายนักเตะดาวดังของทีม ทั้งตัวของอเกวโร่และฟอร์ลัน แต่ทางสโมสรก็ยังคงรั้งนักเตะ 2 คนเอาไว้กับทีม เพื่อรอที่จะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะประสบความสำเร็จในฤดูกาลถัดไป

ในฤดูกาล 2009-2010 แอตเลติโก มาดริด มีการเริ่มต้นฤดูกาลที่ยากลำบาก โดยทีมนั้นพ่ายแพ้และเสียประตูจำนวนมาก แต่ในวันที่ 21 ตุลาคม ทีมตราหมีก็ได้เจอกับคู่ปรับที่มาจากเกาะอังกฤษ นั่นก็คือ เชลซี ในศึกแชมเปี้ยนลีก รอบแบ่งกลุ่ม และเชลซีได้ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่แอตเลติโก มาดริดโดยที่พวกเขาแพ้ไป 4 ประตูต่อ 0 และจากความพ่ายแพ้ในนั้น ทำให้บอร์ดบริหารของทีมจำเป็นต้องปลดอเบล เรซิโน่ ออกจากการทำทีม หลังจากที่พลาดท่าในการเซ็นสัญญากับอดีตนักเตะเดนมาร์กอย่างไมเคิล เลารูป ทีมตราหมีได้ประกาศผู้จัดการทีมคนใหม่ที่จะมาคุมทีมในฤดูกาลที่เหลือนั้นก็คือ กีเก้ ซานเชส ฟลอเรส

ลาลีกาและและความสำเร็จในฟุตบอลยุโรป (2009-ปัจจุบัน)

ภายใต้การเข้ามาคุมทีมของ กีเก้ ซานเชส ฟลอเรส ก็มีการเปลี่ยนแปลง

ภายใต้การเข้ามาคุมทีมของ กีเก้ ซานเชส ฟลอเรส ในเดือนตุลาคมปี 2009 ก็มีการเปลี่ยนแปลงของทีมตราหมีอย่างยิ่งใหญ่ โดยเกิดปัญหาในช่วงฤดูกาล 2009-2010 ในการแข่งขันลาลีกา โดยพวกเขาจบอันดับที่ 9 ในตารางการแข่งขัน และในรอบแบ่งกลุ่มแอตเลติโก้ มาดริดก็ได้อันดับที่ 3 ในการแข่งขันยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซึ่งทำให้ทีมตกไปสู่การแข่งขันยูโรป้าลีก โดยในรอบ 32 ทีมของการแข่งขันยูโรป้าลีก พวกเขาต้องเจอกับทีมจากอังกฤษ ซึ่งก็คือลิเวอร์พูล ในการแข่งขันรอบ 4 ทีมสุดท้าย ซึ่งทีมตราหมีก็สามารถเอาชนะลิเวอร์พูลไปได้และในนัดชิงชนะเลิศพวกเขาก็เจอกับทีมจากอังกฤษอีกครั้ง นั่นก็คือ ฟูแล่ม ซึ่งการแข่งขันนั้นถูกจัดขึ้นที่เมืองฮัมบูร์ก ที่สนามน็อตแบงค์อารีน่า ในวันที่ 12 พฤษภาคมปี 2010 โดยดีเอโก้ ฟอร์ลัน ทำไป 2 ประตูและเป็นการทำประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษในนาทีที่ 116 ซึ่งส่งผลทำให้แอตเลติโก้ มาดริดเอาชนะไปได้ 2 ประตูต่อ 1

นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่การแข่งขันยูโรเปี้ยนคัพ วินเนอร์คัพ ในปี 1962 ซึ่งแอตเลติโก้ มาดริดได้แชมป์ยุโรปและยังสามารถเข้าไปสู่การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศของศึกโคปาเดเรย์ ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2010 แต่ว่าพวกเขาได้แพ้ต่อบาร์เซโลน่าที่คัมป์นูไป 2 ประตูต่อ 0 และเนื่องจากการที่พวกเขาได้แชมป์ยูโรป้าลีก ทำให้สามารถเข้าไปสู่การแข่งขันยูฟ่า ซูเปอร์คัพในปี 2010 ได้โดยที่ทีมตราหมีนั้นต้องเจอกับอินเตอร์นาซิอองนาลจากอิตาลี ซึ่งเป็นผู้ชนะในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกปี 2010 ซึ่งการแข่งขันถูกจัดขึ้นที่โมนาโกในวันที่ 27 สิงหาคม 2010 โดยแอตเลติโก้ มาดริดเอาชนะไปได้ 2 ประตูต่อ 0 โดยได้ประตูจากโจเซ่ อันโตนิโอ เรเยซ และเซอร์จิโอ อเกวโร่ ซึ่งเป็นชัยชนะนัดแรกของแอตเลติโก้ มาดริดในศึกซุปเปอร์คัพ

แอตเลติโก้ มาดริด มีผลงานที่น่าผิดหวังในช่วงปี 2010-2011 โดยจบได้เพียงแค่อันดับที่ 7 ในตารางการแข่งขัน และตกรอบ 4 ทีมสุดท้ายในศึกโกปาเดลเรย์ และตกรอบอีกครั้งในการแข่งขันยูโรป้าลีก นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทางสโมสรได้ตัดสินใจปลดซานเชซ ฟลอเรซ ออกจากการทำทีม และหลังจากนั้นทีมได้หาผู้จัดการทีมซึ่งมาแทนที่ซึ่ งก็ได้ตัวเกรกอริโอ แมนซาโน ซึ่งเป็นอดีตผู้จัดการทีมเซบีย่า ผู้ซึ่งสามารถพาทีมเข้าไปสู่การแข่งขันยูโรป้านัดชิงชนะเลิศได้ และหลังจากนั้นไม่นานทีมก็ได้ตัดสินใจนำตัวดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เข้ามาแทนที่ในเดือนธันวาคมปี 2011 จากผลการแข่งขันที่ค่อนข้างแย่ในศึกลาลีก้า ของอดีตผู้จัดการทีมเซบีย่า

ซิเมโอเน่ พาแอตเลติโก มาดริดได้แชมป์ยูโรป้าลีกเป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี ซึ่งพวกเขาสามารถเอาชนะแอตแลนติก บิลเบาไปได้ 3 ประตูต่อ 0 ในนัดชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมปี 2012 โดยได้ประตู 2 ประตูจากราดาเมล ฟัลเกาและได้ประตูจากดีเอโก้ ฟอร์ลันอีกหนึ่งประตู และเมื่อได้แชมป์ยูโรป้าลีกแล้วพวกเขาสามารถเข้าไปแข่งขันยูฟ่า ซูปเปอร์ คัพ ในปี 2012 โดยแอตเลติโก มาดริดเอาชนะเชลซี ซึ่งเป็นอดีตแชมป์แชมเปี้ยนลีกไปได้ 4 ประตูต่อ 1 ซึ่งเป็นการทำแฮตทริกของราดาเมล ฟัลเกา ในช่วงครึ่งแรก ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่โมนาโกเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมปี 2012 และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมปี 2013 ทีมตราหมีสามารถเอาชนะทีมราชันชุดขาวไปได้ 2 ประตูต่อ 1 ในศึกโกปาเดลเรย์ รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทั้ง 2 ทีมเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10 คนและแอตเลติโก้ มาดริด สามารถเอาชนะไปได้ นี่เป็นการหยุดสถิติอันเลวร้ายของทีมตราหมีที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะเรอัล มาดริดได้ในศึกมาดริด ดาร์บี้เป็นเวลา 14 ปีและ 15 นัด

ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2014 ทีมตราหมีได้เจอกันที่คัมป์นู ในการเจอกับบาร์เซโลน่าไป 1 ประตูต่อ 1 ซึ่งทำให้แอตเลติโก้ มาดริดได้แชมป์ลาลีกาไปครอบครองเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1996 และเป็นแชมป์ลาลีกาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2003 ถึง 2004 ซึ่งผู้ที่ได้แชมป์ไม่ใช่เรอัล มาดริดหรือว่าบาร์เซโลน่า และหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น แอตแลนติโก มาดริดต้องเจอกับเรอัล มาดริดในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ และนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1974 ซึ่งทั้งสองทีมเป็นทีมที่มาจากเมืองเดียวกัน โดยทีมตราหมีได้ประตูขึ้นนำก่อนจากการทำประตูของดีเอโก้ โกดิน พวกเขานำจนไปถึง 3 นาทีสุดท้าย ก่อนจะถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บแ ละเซอร์จิโอ รามอสสามารถทำประตูจากการโยนมาจากเตะมุม และการแข่งขันเข้ามาสู่การต่อเวลาพิเศษและผลโดยท้ายที่สุดแล้วเรอัล มาดริด เอาชนะไปได้ 4 ประตูต่อ 1 และทำให้พวกเขาได้แชมป์แชมเปี้ยนลีกเป็นครั้งที่ 2 ใน 3 ฤดูกาล และพวกเขาเจอกันอีกครั้งในการ 2015-2016 และท้ายที่สุดแล้วเรอัล มาดริดก็เอาชนะจากการยิงจุดโทษ หลังจากที่ในเวลาเสมอกันไป 1 ประตูต่อ 1 และในปี 2018 พวกเขาก็ได้แชมป์ยูโรป้าลีกเป็นสมัยที่ 3 ในการเอาชนะมาร์กเซยไปได้ 3 ประตูต่อ 0 ในนัดชิงชนะเลิศ และพวกเขายังได้แชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ หลังจากที่เอาชนะเรอัล มาดริดไป 4 ประตูต่อ 2 ในปีเดียวกัน

มาดริด ดาร์บี้

เรอัล มาดริด และแอตเลติโก้ มาดริด นั้นมีอัตลักษณ์และความแตกต่าง

เรอัล มาดริด และแอตเลติโก้ มาดริด นั้นมีอัตลักษณ์และความแตกต่างของทีมอย่างชัดเจน โดยที่เรอัล มาดริดใช้สนามเหย้าที่ชื่อว่าซานติอาโก้ เบอร์นาบิว และทีมนั้นได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์ของสเปนมาอย่างยาวนาน ส่วนแอตเลติโก้ มาดริดนั้นใช้สนามชื่อ บิเซนเต้ คาลเดร่อน ซึ่งอยู่ทางใต้ของกรุงมาดริดและคนที่สนับสนุน นั่นก็คือ ชนชั้นแรงงานในละแวกนั้น เรอัล มาดริด มีประวัติศาสตร์การตั้งสโมสรมาอย่างยาวนาน พวกเขาภูมิใจในความเก่าแก่ขณะที่แอตเลติโก้ มาดริดนำเสนอตัวเองว่าเป็นการต่อสู้ของชนชั้นรากหญ้า และมีความเป็นกบฏ โดยทีมตราหมีนั้นถูกมองว่าเป็นทีมที่ตามหลังทีมราชันชุดขาวมาโดยตลอด จนกระทั่งในช่วงยุครุ่งเรืองของแอตเลติโก้ มาดริด ซึ่งนำทีมโดยฟรานซิสโก้ ฟรังโก้ และทีมตราหมีก็เคยเกี่ยวข้องกับกองทัพอากาศของสเปนซึ่งชื่อเดิมก็คือแอตเลติโก้ อวาลอง

ในขณะนั้น สเปนในฐานะที่เป็นรัฐเผด็จการและสเปนได้ทำให้เรอัล มาดริด เป็นทีมประจำเมืองหลวง และส่งทีมราชันชุดขาวไปแข่งการแข่งขันยุโรป ขณะที่การแข่งขันทีมชาติสเปนถูกทอดทิ้งและความยิ่งใหญ่ของเรอัล มาดริด ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศออกมาพูดว่า เรอัล มาดริด เป็นสถานกงสุลที่ดีที่สุดที่เราเคยมีมา เนื่องจากพวกเขาได้สร้างวัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอลของแฟนบอลในแถบเมืองหลวงขึ้นมา ในขณะที่แอตเลติโก้ มาดริดนั้น เป็นตัวแทนของทีมจากชนชั้นแรงงาน และพวกเขาได้เขียนเพลงขึ้นมาล้อแฟนฟุตบอลเรอัล มาดริดซึ่งแปลว่า “ไปเลย ไปเลย มาดริด ทีมของรัฐบาล แต่เป็นความอับอายของชาติ”

ความสำเร็จล่าสุดที่เกิดขึ้นในการเจอกันของทั้งสองทีม คือ แอตเลติโก้ มาดริดทำได้โดยการที่หยุดสถิติที่ไม่สามารถเอาชนะถึง 14 ปีติดต่อกัน จนในฤดูกาล 2012-13 โดยพวกเขาเอาชนะคู่ปรับอย่างเรอัล มาดริดที่สนามซานติอาโก้ เบอร์นาบิวด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1 ในนัดชิงชนะเลิศของศึกโคปา เดอ เรย์ และอีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2013 เมื่อผู้เขาชนะไปได้ 1 ประตูต่อ 0 ที่สนามเหย้าของทีมราชันชุดขาว

เกียรติประวัติของทีม

เกียรติประวัติของทีม

แชมป์ภายในประเทศ

ลาลีกา แชมป์ 10 สมัย : 1939–40, 1940–41, 1949–50, 1950–51, 1965–66, 1969–70, 1972–73, 1976–77, 1995–96, 2013–14

รองแชมป์ 9 สมัย : 1943–44, 1957–58, 1960–61, 1962–63, 1964–65, 1973–74, 1984–85, 1990–91, 2017–18

เซกุนด้า ดิวิชั่น แชมป์ 1 สมัย : 2001-2002

รองแชมป์ : 1932–33, 1933-34

โคปา เดล เรย์ แชมป์ 10 สมัย : 1959–60, 1960–61, 1964–65, 1971–72, 1975–76, 1984–85, 1990–91, 1991–92, 1995–96, 2012–13

รองแชมป์ 9 สมัย : 1920–21, 1925–26, 1955–56, 1963–64, 1974–75, 1986–87, 1998–99, 1999–00, 2009–10

ซุปเปอร์โคปา แชมป์ : 1985 และ 2014

รองแชมป์ : 1991, 1992, 1996, 2013

แชมป์ภายนอกประเทศ

รองแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก : 1973-74 , 2013-14, 2015-16

ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ คัพ แชมป์ : 1961-62

รองแชมป์ : 1962–63, 1985–86

ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก แชมป์ : 2009–10, 2011–12, 2017–18

ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ แชมป์ : 2010, 2012, 2018